ใช้แอร์อย่างถูกวิธี ช่วยให้ประหยัดไฟ และเงินในกระเป๋า
By vLIVING PRO20 กุมภาพันธ์ 2561 11:53:58

                 เมื่อเข้าสู่ฤดูร้อน อากาศแสนจะร้อนอบอ้าว และอุณหภูมิโลกสูงขึ้นทุกปี การติดตั้งเครื่องปรับอากาศภายในบ้าน จึงเป็นอีกวิธีหนึ่งที่หลายๆบ้านใช้ในการแก้ปัญหา แม้ว่าจะเป็นการเพิ่มค่าใช้จ่าย และสิ้นเปลืองพลังงานก็ตาม ดังนั้นจึงนำวิธีการใช้แอร์อย่างประหยัดมาฝากกัน ลองนำไปปฏิบัติตามได้ ดังนี้ครับ

 

  1. ควรใช้แอร์ที่มีฉลากประหยัดไฟเบอร์ 5
  2. จุดที่ติดตั้งแอร์ ต้องสามารถกระจายความเย็นได้ทั่วทั้งห้อง
  3. ไม่ควรติดแอร์ด้านที่มีแสงแดดส่องแรงๆ เพราะจะทำให้แอร์ทำงานหนัก สิ้นเปลืองพลังงาน และต้องเสียค่าไฟมากเกินความจำเป็น
  4. ควรเลือกขนาดของแอร์ให้เหมาะสมกับพื้นที่ห้องที่ต้องการติดตั้ง แอร์โดยทั่วไปมีขนาดตั้งแต่ 9,000 – 8,000 BTU

สูตรการคำนาณค่า BTU คือ พื้นที่ห้อง (กว้าง x ยาว) x ตัวแปร

ตารางเปรียบเทียบขนาดของแอร์ (BTU) 

 

  1. ควรตั้งอุณหภูมิให้เหมาะสม คือ 25 องศา หรือ ประมาณ 26 – 28 องศา จริงๆแล้ว การตั้งอุณหภูมิที่ 25 องศา ไม่ได้ช่วยให้ประหยัดไฟที่สุด แต่เป็นอุณหภูมิที่ร่างกายรู้สึกเย็นสบายพอดี เช่น บางคนอาจจะชอบที่อุณหภูมิ 27 หรือ 28 องศา เป็นต้น ร่างกายของแต่ละคนจะรู้สึกเย็นสบายในอุณหภูมิที่แตกต่างกัน และอุณหภูมิยิ่งสูง ยิ่งช่วยให้ประหยัดค่าไฟ แต่ไม่ควรเปิดแอร์จนอุณหภูมิสูงจนไม่เกิดความเย็น ซึ่งจะกลายเป็นว่า ไม่ได้ใช้ประโยชน์จากการเปิดใช้แอร์ และถือเป็นการสิ้นเปลืองพนังงานด้วย
  2. ควรหลีกเลี่ยงการใช้เครื่องใช้ไฟฟ้า ในห้องที่ใช้เครื่องปรับอากาศ เช่น เตาไฟฟ้า ไมโครเวฟ เป็นต้น
  3. ไม่ควรสูบบุหรี่ในห้องแอร์ เพราะจะต้องเปิดพัดลมระบายอากาศ เพื่อช่วยในการระบายกลิ่น และควันบุหรี่ ทำให้ความเย็นจากแอร์ถูกดูดออกไปด้วย
  4. ควรใส่เสื้อผ้าที่สบายๆ เหมาะกับสภาพอากาศ
  5. ควรล้างแผ่นกรอง และตะแกรงแอร์ เดือนละครั้ง รวมทั้ง ควรล้างแอร์ปีละ 2 ครั้ง เพื่อให้แอร์ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ สามารถยืดอายุการใช้งานได้ยาวนาน และประหยัดค่าไฟได้ด้วย
  6. ควรเลือกใช้แอร์ที่มีแผ่นกรองอยู่ด้านนอก เพราะง่ายต่อการแกะล้าง
  7. ขณะที่เปิดใช้แอร์ควรปิดประตู – หน้าต่างให้มิดชิด เพื่อไม่ให้ความเย็นรั่วไหลออกภายนอกห้อง
  8. ควรปิดแอร์ก่อนออกจากห้องอย่างน้อย 30 นาที เพราะถึงแม้จะปิดแอร์แล้วแต่ก็ยังคงมีความเย็นอยู่

 

 

    13.ควรปิดคัทเอาท์แอร์เมื่อเลิกใช้งานทุกครั้ง

    14.คอยล์ร้อน ควรติดตั้งให้อยู่ในจุดที่โดนแดดน้อยที่สุด อยู่ในที่ร่ม และอากาศสามารถถ่ายเทได้สะดวก หรือติดตั้งให้ห่างจากผนังอย่างน้อย 15 เซนติเมตร ทำให้ช่วยระบายความร้อนได้ดี และยังช่วยประหยัดไฟได้ถึง 15 – 20 %

   15.ถ้าต้องเปิดใช้แอร์ต่อเนื่องนานเกิน 8 ชั่วโมง ควรเลือกใช้แอร์ Inverter เพราะจะช่วยทำให้ประหยัดไฟได้เกือบ 50% เลยทีเดียว

                 หากทุกคนนำวิธีการต่างๆนี้ไปปฏิบัติแล้ว เชื่อแน่ว่าจะสามารถใช้เครื่องปรับอากาศได้อย่างมีประสิทธิภาพ ประหยัดค่าใช้จ่าย ทั้งค่าไฟฟ้า และค่าบำรุงรักษา รวมทั้งยังให้ความเย็นที่เพียงพอกับความต้องการได้ตลอดเวลา ที่สำคัญยังช่วยประหยัดพลังงานไฟฟ้าได้อีกด้วย

 

ขอบคุณรูปภาพจาก Pinterest

vLIVING PRO
สนใจติดต่อโฆษณาเว็บไซต์กับ vLIVING PRO โทร.02-101-9493 #16, 082-359-3382
บทความอื่นที่น่าสนใจ
  • เครื่องมือช่างหากทิ้งไว้นานๆ หากไม่มีการรักษาให้ดี คงจะหนีไม่พ้นสนิมแน่นอน

    วันนี้เรามีสิ่งของใกล้ตัว ที่สามารถนำมากำจัดสนิมได้ แค่ไม่กี่วิธีมาฝากกัน

     

     

    1.เบกกิ้งโซดา

                  นำอุปกรณ์ไปล้างน้ำให้สะอาดก่อน และสะบัดให้พอหมาด โรยเบกกิ้งโซดาลงไปให้ทั่วบริเวณเครื่องมือ

    ทิ้งไว้ป็นเวลา 1 ชม. หรือมากกว่านั้น และใช้แปรงขัดออกล้างออกด้วยน้ำเปล่าเช็ดให้แห้ง

     

     

    2.น้ำส้มสายชู

                           นำเครื่องมือไปแช่ไว้ในน้ำส้มสายชู  ทิ้งไว้ข้ามคืนแล้ว นำมาขัดด้วยแปรง หากแช่ไม่ได้ก็นำ

    ผ้าไปชุบน้ำส้มสายชูและไปห่อไว้

     

     

     

     

    3.มันฝรั่งและน้ำยาล้างจาน

                    นำมันฝรั่งมาผ่าครึ่งไปชุบกับน้ำยาล้างจาน ใช้มันฝรั่งเป็นตัวขัดให้ทั่วบริเวณที่มีสนิม

     

    4.กรดซิตริก

                        นำกรดซิตริก ใส่ไปในน้ำร้อนแล้วเอาเครื่องมือ ที่เป็นสนิมแช่ไว้ทั้งคืนตอนเช้าจึงขัดด้วยแปรงออก

     

     

    5.มะนาวและเกลือ

                นำเกลือไปทาให้ทั่วเครื่องมือ โดยใช้มะนาวผ่าครึ่งในการขัดออก หรือ ทิ้งไว้ 1-2 ชั่วโมง หลังจาก

    ขัดเสร็จแล้วเช็ดให้แห้งนำไปผึ่งแดด

     

     

    6.ครีมออฟทาร์ทาร์(ที่ใช้ทำขนม)

                  ผสมครีมออฟทาร์ทาร์ เข้ากับน้ำส้มสายชู นำไปป้ายตรงคราบ ที่เกิดสนิมทิ้งไว้สัก 1-2 ชั่วโมง

    แล้วนำฟองน้ำมาถูออก 

     

     

    7.บอแรกซ์

                 นำผงบอแรกซ์ผสมกับน้ำมะนาว จนได้เนื้อที่เข้มข้น และนำไปป้ายลงบนที่เป็นสนิม

    ทิ้งไว้ให้แห้งแล้วจึงทำการขัดออก

     

     

    8.หัวหอม

                   นำกระดาษทรายมาขัด เพื่อกำจัดเนื้อสนิมออกก่อน 1 ชั้น จากนั้นใช้หัวหอมแดง ที่หั่นเตรียมไว้

    มาถูทับรอยสนิม แล้วล้างออกด้วยน้ำร้อนจนกระทั่งสนิมหลุด

     

  • คอนกรีตเสริมเหล็ก หลายๆคนคงเคยได้ยินกันบ่อยๆในงานก่อสร้าง คือคอนกรีตที่มีการเสริมแรงในการรับน้ำหนักเข้ามาโดยใช้เหล็กเข้ามาเป็นตัวช่วยในการเสริมแรง รายละเอียดจะมีอะไรบ้าง  มาดูัน

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

  • ใครที่เคยพูดว่าดอกไม้ เมื่อแห้งเหี่ยวแล้วก็ต้องโยนทิ้งไป คงต้องเปลี่ยนความคิดซะแล้วหล่ะ เพราะดอกไม้แห้งก็สวยงามได้ ถ้าสามารถรักษารูปทรงเดิมให้อยู่ได้ เรามายืดอายุให้กับดอกไม้กันเถอะค่ะ ไม่ว่าจะเป็นดอกอะไรก็สามารถทำได้ และไม่ยุ่งยาก จะทำเป็นของที่ระลึก ของขวัญ หรือทำเป็นบุหงารำไป ช่วยเพิ่มความหอมสดชื่นให้บ้านก็ได้นะคะ งั้นเรามาเริ่มทำไปพร้อมๆ กันเลยค่ะ

    1. ตากดอกไม้เพื่อทำดอกไม้แห้งให้ฟอร์มยังคงความสวยงามอยู่เหมาะเดิม

    วิธีทำมีดังนี้

    1. เลือกดอกไม้ที่ต้องการทำเป็นดอกไม้แห้ง  เด็ดกลีบช้ำ ขาด แหว่ง หรือไม่สวยทิ้งไป

    2. ตัดก้านดอกไม้ออกสักนิด แต่ต้องไม่น้อยกว่า 6 นิ้ว

    3.  ใช้เชือกมัดตรงปลายก้านรวมกันเป็นช่อ สำหรับแขวนกลับหัว ให้ดอกไม้ห้อยลงล่าง ก้านชี้ขึ้นข้างบน เพื่อรักษาตัวดอกไม้ให้คงรูป ในห้องที่มีอากาศถ่ายเท ป้องกันการเกิดเชื้อราที่กลีบของดอก

    4. ทิ้งไว้ 2-3 สัปดาห์ดอกไม้จะแห้งสนิท และก้านจะตั้งตรงไม่หักงอ 

    วิธีนี้เหมาะกับดอกไม้ที่มีกลีบหนาและทน แต่ไม่เหมาะกับดอกไม้ประเภทกลีบบางช้ำง่าย เพราะกลีบจะเหี่ยวย่น ยับยู่ หรืออาจจะร่วงระหว่างตากลมได้ค่ะ

      

     

    2. แช่ด้วยสารดูดความชื้น หรือซิลิก้าเจล เป็นสารที่ใส่อยู่ในถุงเล็กๆ ที่ติดมากับห่อขนม กล่องรองเท้า กระเป๋า หรือผลิตภัณฑ์บางประเภท สามารถหาซื้อได้ตามร้านขายเคมีทั่วไป และสามารถใช้ซ้ำได้เรื่อยๆ

    วิธีการทำมีดังนี้

    1. เอาสารดูดความชื้นใส่ในภาชนะทรงสูง แล้วตั้งดอกไม้ให้ตรง จัดให้อยู่ในทรงที่เราต้องการ

    2. เทสารดูดความชื้นให้ดอกไม้ให้มิด

    3. ปิดฝาทิ้งไว้ประมาณ 3-7 วัน แค่นี้ก็เป็นอันเสร็จ หรือถ้าอยากได้เฉพาะดอก ก็สามารถตัดก้านออกได้ แล้วใส่ในภาชนะที่ไม่ต้องสูงมาก 

    4. เอาเข้าไมโครเวฟ 1-2 นาทีก็เสร็จเรียบร้อย หรือหากไม่มีไมโครเวฟ ก็สามารถวางทิ้งไว้เฉยๆ ได้ แต่จะใช้เวลาประมาณ 2 สัปดาห์

    5. ล้างมือให้สะอาด ภาชนะที่นำมาใช้ก็ทิ้งไปเลยนะคะ หรือนำไปใช้อย่างอื่นก็ได้ แต่ห้ามใช้ใส่อาหารเด็ดขาด

     

     

    3. การทับดอกไม้ วิธียอดฮิตสมัยเด็กๆ

    วิธีการทำมีดังนี้ 

    1. เลือกดอกไม้ ควรใช้ดอกไม้ที่มีขนาดเล็กและแบน หลีกเลี่ยงการใช้ดอกไม้ที่มีก้านอ้วนๆ หรือที่มีกลีบบาง เพราะจะได้รับความเสียหายได้ง่าย
     
    2. วางดอกไม้บนกระดาษที่ผิวแห้ง ด้าน ไม่มันเงา เช่น หนังสือพิมพ์ กระดาษแข็งหรือกระดาษทิชชู่
     
    3. นำไปสอดไว้ในหนังสือเล่มหนาอีกครั้ง อาจใส่กล่อง หรือแผ่นไม้หนักๆ วางทับลงอีกที ทิ้งไว้ประมาณ 1-3 อาทิตย์ แค่นี้ก็จะได้ดอกไม้แห้งที่บางเรียบคงตัวตามแบบที่จัดไว้ แล้วอาจนำไปใส่กรอบรูป หรือเคลือบทำเป็นที่คั่นหนังสือก็ได้
     
      
     
     
    4. การอบแห้งในเตาอบลมร้อน
     
    วิธีการทำมีดังนี้
    1. เตรียมดอกไม้ที่ต้องการ แล้วตัดลวดตาข่ายแบบดัดได้ ขนาดใหญ่พอสำหรับดอกไม้ จากนั้นวางดอกไม้พาดช่องว่างของตะแกรง
     
    2. เปิดไฟวอร์มเตาอบก่อน และควรใช้เตาอบลมร้อนที่ระบายอากาศได้ดี โดยใช้อุณหภูมิต่ำ เมื่อเตาอบร้อนถึง 38ºC ให้วางตะแกรงที่เรียงดอกไม้ใส่เข้าไปในเตาอบ
     
    3. ปล่อยทิ้งไว้ในเตาอบลมร้อนประมาณ 1 ชั่วโมง การใช้ระยะเวลาในการอบแห้งจะแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับชนิดและจำนวนของดอกไม้ที่ใช้ ไม่ควรใช้เตาอบทั่วไป เพราะมีความชื้นมากเกินไป
     
    4. เมื่อดอกไม้แห้งสนิทแล้ว นำออกมาจากเตาอบและพักไว้บนตะแกรงให้เย็นลง แล้งฉีดสเปรย์ใส่ผม หรือสารคงสภาพดอกไม้ เพื่อเพิ่มความแข็งแรง ทนทานของดอกไม้แห้ง
      
     

    ลองทำตามกันดูนะคะ เป็นวิธีที่ง่ายๆ มีให้เลือกหลายวิธี และหากเพื่อนๆ คนไหน ทำแล้วติดใจ อาจลองทำขายก็ได้นะคะ ใช้เวลาว่างให้เกินประโยชน์ แถมยังสามารถทำเป็นรายได้เสริมได้อีกด้วยค่ะ 

     

    ขอบคุณภาพประกอบจาก Pinterest

     

  • การทาสีบ้านให้สวยงามเรียบเนียน จำเป็นต้องใช้ช่างมืออาชีพ หรือหากต้องการทาสีบ้านด้วยตัวเองก็ควรศึกษาขั้นตอน และวิธีการทาสีที่ถูกต้องเพื่อให้บ้านอันเป็นที่รักของเราดูดี สวยงามและน่าอยู่ วันนี้เสนอสาเหตุของ "การทาสีไม่ขึ้น" ว่าเกิดจากอะไร เผื่อใครที่พบเจอกับปัญหานี้ จะได้ทราบถึงสาเหตุ และรู้วิธีแก้ไขอย่างถูกต้อง

     

     

     สีทาไม่ขึ้น หมายถึง สียังบางอยู่ อาจเป็นเพราะทาสีบางเกินไป ทำให้มองเห็นรอบแปรงหรือลูกกลิ้ง สาเหตุเกิดจาก ผสมตัวทำละลายลงในสีมากเกินไป จึงทำให้สีบาง (ตัวทำละลาย คือ น้ำ ทินเนอร์ น้ำมันสน เป็นต้น)

     

     

    ดังนั้นจึงควรตรวจสอบส่วนผสมอีกครั้ง หรืออาจเป็นเพราะเนื้อสีมีน้อย เพราะใช้สีที่มีราคาถูก หรือใช้ลูกกลิ้งในการทาสี จึงทำให้สีบาง สีไม่ขึ้น หรือขึ้นช้า ทำให้ต้องทาซ้ำๆหลายๆรอบ จนกว่าสีจะเข้ม ทึบ หรือเด่นชัดขึ้น เรียกว่า “สีขึ้น” แต่ไม่ต้องกังวลใจไปนะครับ  เพราะการใช้ลูกกลิ้งทาสี  ถึงแม้ว่าจะต้องทาหลายๆรอบ แต่จะทำให้ได้สีที่เรียบเนียน สวยงาม มากกว่าการใช้แปรงทาสีนะครับ

     

    เมื่อทราบถึงความหมายของการทาสีไม่ขึ้น และสาเหตุ รวมทั้งวิธีการทาสีที่ถูกต้องแล้ว เชื่อว่าไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป สำหรับใครที่ต้องการลงมือทาสีบ้านด้วยตัวเอง แต่เรื่อง การทาสีไม่ขึ้น อาจเป็นแค่ส่วนหนึ่งในอีกหลายๆปัญหาของการทาสีบ้านที่อาจพบเจอได้นะครับ

     

    ขอบคุณภาพประกอบจาก Pinterest