เลือกแอร์ให้เหมาะกับบ้าน
By vLIVING PRO16 พฤศจิกายน 2567 04:39:07

อยากจะเลือกแอร์สักตัว อากาศก็ร้อนเหลือเกิน แต่ก็ไม่รู้จะเลือกแบบไหนให้เหมาะกับบ้าน
ผมมีตัวเลือกของแอร์ แบบต่างๆ มาให้เพื่อนได้ดูกัน ให้เป็นประโยชน์กับเพื่อนๆนะครับ

 

 

vLIVING PRO
สนใจติดต่อโฆษณาเว็บไซต์กับ vLIVING PRO โทร.02-101-9493 #16, 082-359-3382
บทความอื่นที่น่าสนใจ
  • หน้าร้อนมาเยือนแล้ว อากาศก็แสนจะร้อนอบอ้าว และอุณหภูมิโลกสูงขึ้นทุกปี การติดตั้งเครื่องปรับอากาศภายในบ้าน จึงเป็นอีกวิธีหนึ่งที่หลายๆ บ้านใช้ในการแก้ปัญหา ผมมีข้อแนะนำเกี่ยวกับวิธีการเลือกซื้อ การใช้แอร์ และการดูแลรักษาแอร์ ที่ถูกต้องมาฝากครับ

     

    ควรเลือกใช้แอร์ที่มีฉลากประหยัดไฟเบอร์ 5 และจุดที่ทำจะติดตั้งแอร์ ต้องสามารถกระจายควรเย็นได้ทั่วทั้งห้อง

     

    ไม่ควรติดแอร์ด้านที่มีแสงแดดส่องแรงๆ เพราะจะทำให้แอร์ทำงานหนัก สิ้นเปลืองพลังงาน และต้องเสียค่าไฟมากเกินความจำเป็น ควรเลือกขนาดของแอร์ให้เหมาะสมกับพื้นที่ห้องที่ต้องการติดตั้ง ซึ่งแอร์โดยทั่วไปมีขนาดตั้งแต่ 9,000 – 60,000 BTU

     

    ควรตั้งอุณหภูมิให้เหมาะสม คือ 25 องศา หรือ ประมาณ 26 – 28 องศา จริงๆแล้ว การตั้งอุณหภูมิที่ 25 องศา ไม่ได้ช่วยให้ประหยัดไฟที่สุด แต่เป็นอุณหภูมิที่ร่างกายรู้สึกเย็นสบายพอดี เช่น บางคนอาจจะชอบที่อุณหภูมิ 27 หรือ 28 องศา เป็นต้น ร่างกายของแต่ละคนจะรู้สึกเย็นสบายในอุณหภูมิที่แตกต่างกัน และอุณหภูมิยิ่งสูง ยิ่งช่วยให้ประหยัดค่าไฟ แต่ไม่ควรเปิดแอร์อุณหภูมิสูงจนไม่เกิดความเย็น ซึ่งจะกลายเป็นว่า ไม่ได้ใช้ประโยชน์จากการเปิดใช้แอร์ ถือเป็นการสิ้นเปลืองพลังงานด้วย และควรล้างแผ่นกรอง และตะแกรงแอร์ เดือนละ 1 ครั้ง

     

    ควรหลีกเลี่ยงการใช้เครื่องใช้ไฟฟ้า ในห้องที่ใช้เครื่องปรับอากาศ เช่น เตาไฟฟ้า ไมโครเวฟ เป็นต้น รวมทั้ง ควรล้างแอร์ปีละ 2 ครั้ง เพื่อให้แอร์ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ สามารถยืดอายุการใช้งานได้ยาวนาน และประหยัดค่าไฟ

     

    หากต้องการเปิดใช้แอร์ควรปิดประตู – หน้าต่างให้มิดชิด เพื่อไม่ให้ความเย็นรั่วไหลออกภายนอกห้อง และใส่เสื้อผ้าที่สบายๆ เหมาะกับสภาพอากาศ หรือถ้าที่บ้านจำเป็นต้องเปิดใช้แอร์นานต่อเนื่องเกิน 8 ชั่วโมง ควรเลือกใช้แอร์ Inverter เพราะจะช่วยให้ประหยัดไฟได้เกือบ 50% เลยทีเดียว

     

    ไม่ควรสูบบุหรี่ในห้องแอร์ เพราะทำให้ต้องเปิดพัดลมระบายอากาศ เพื่อช่วยระบายกลิ่น และควันบุหรี่ ทำให้ความเย็นจากแอร์ถูกดูดออกไปด้วย ส่วนคอยล์ร้อน ควรติดตั้งให้อยู่ในจุดที่โดนแดดน้อยที่สุด หรืออยู่ในที่ร่ม และมีอากาศที่สามารถถ่ายเทได้สะดวก หรือติดตั้งให้ห่างจากผนังอย่างน้อย 15 เซนติเมตร เพื่อช่วยระบายความร้อนได้ดี และยังช่วยประหยัดไฟได้ถึง 15 – 20 %  ควรปิดแอร์ก่อนออกจากห้องอย่างน้อย 30 นาที เพราะถึงแม้จะปิดแอร์แล้วแต่ก็ยังคงมีความเย็นอยู่ และปิดคัทเอาท์แอร์ทุกครั้งเมื่อเลิกใช้งาน

     

    วิธีต่างๆ เหล่านี้น่าจะช่วยให้เพื่อนๆ ใช้แอร์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ประหยัดค่าใช้จ่าย ทั้งค่าไฟฟ้า และค่าบำรุงรักษา รวมทั้งยังให้ความเย็นที่เพียงพอกับความต้องการได้ตลอดเวลา ที่สำคัญยังช่วยประหยัดพลังงานไฟฟ้าได้อีกด้วย

     

  • 7 สิ่งสุดยี้ที่คาดไม่ถึงที่อยู่ในครัว เป็นสิ่งใกล้ตัวที่เราคาดไม่ถึง จะมีอะไรบ้างนั้นมาดูกัน

     

    1.ไมโครเวฟ

    เห็นไมโครเวฟเป็นสิ่งที่มีความร้อนบางคนอาจจะคิดว่ามันสามารถฆ่าเชื้อโรคได้ แต่แบคทีเรียที่เกิดจากการที่เราได้อุ่นอาหาร แล้วมีคราบที่กระเด็นไป ก็สามารถให้มันเจริญเติบโตได้หากทำความสะอาด ไม่เพียงพอ จะกลายเป็นที่สะสมของเชื้อโรคได้ หากมีคราบเปื้อนให้เช็ดทำความสะอาดทันที และหาอาหารปิดภาชนะทุกครั้ง

     

    2.เคาน์เตอร์ครัว

    เป็นสิ่งที่เราต้องใช้วางสิ่งของต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นถุงอาหาร กล่องข้าว หรือวัตถุดิบต่างๆ ของพวกนี้จะมีเชื้อโรคติดมาเสมอ เช่นแบคทีเรียที่สามารถอาจทำให้เกิดการท้องเสียได้ ควรรักษาความสะอาดให้มากที่สุด

     

     

    3.ถังขยะในครัว

    ถังขยะเป็นแหล่งสะสมโรคชนิดดีเยี่ยมเพราะว่าสารพัดขยะ ที่เราได้ทิ้งลงไป บางทีเราไม่ได้เก็บไปทิ้งภายในวันเดียวอาจทำให้เกิดการหมักหมมของเชื้อโรค และการส่งกลิ่นเหม็น หากเราปล่อยไว้ ไม่เก็บทิ้งก็อาจจะเกิดการสะสมเชื้อโรค หนูอาจจะมีสัตว์ที่เราไม่พึงประสงค์เข้ามาไม่รู้ตัว ควรมีฝาปิดและทิ้งทุกวัน

     

    4.เขียง

    เขียงที่เราได้ทำการหั่นอาหารลงไปนั้น ไม่ว่าจะเป็นอาหารหรือของแห้ง หากล้างไม่สะอาดก้จะทำให้เกิดการสะสมเชื้อโรคชั้นดี ยิ่งเป็นเขียงไม้ ยิ่งจะเป็นการสะสมเข้าไปอีก เพราะจะซึมเข้าเนื้อไม้ สกปรกเข้าไปอีก

     

    5.บริเวณรอบอ่างล้างจานหรือซิ้งค์น้ำ

    อ่างล้างจานเป็นส่วนที่สัมผัสน้ำมาตลอด เพราะทั้งการล้างจาน  หรือการวางของที่โดนน้ำตลอด หากทำความสะอาดไม่ดีพอ หรือว่าปล่อยให้มีน้ำขัง สิ่งสกปรกจะไปสะสมเข้าทุกวัน

     

     

    6.ผ้าเช็ดจานและฟองน้ำล้างจาน

    เป็นแหล่งสะสมแบคทีเรียที่ดี เพราะเราล้างจานหรือเช็ดจานก็จะโดนน้ำตลอด ควรนำผ้าเช็ดจานไปซักทำความสะอาดและใช้ฟองน้ำไปเข้าไมโครเวฟเพื่อฆ่าเชื้อแบคทีเรียบ้าง บางคนอาจไม่เคยซักนานอาจทำให้สกปรกได้

     

     

    7.ช่องแช่แข็ง

    การเก็บเนื้อสัตว์ไว้ในตู้แช่แข็ง หากอุณหภูมิไม่ดีพอหรือเหมาะสมควร ต่ำกว่า 5 องศาเซลเซียส เพราะหากเก็บไว้อุณหภูมิที่สูงกว่านี้จะทำให้แบคทีเรียเติบโตไว  นานเข้าควรละลายน้ำแข็งเช็ดทำความสะอาดเป็นประจำ

     

     

     

     

     

  •  ในช่วงหน้าฝนนี้อาจมีน้ำขังทำให้เกิดยุงลายชุกชุม เป็นพาหะนำโรคได้วันนี้เรามีเคล็ดลับดีๆในกำจัดยุงลายมาฝากกัน

     

    1.ตะไคร้หอม

                 เป็นผักสวนครัวที่ปลูกไว้ประกอบอาหาร เป็นยารักษาโรคได้

    และสามารถปลูกไว้ในบ้านเพื่อช่วยป้องกันยุงได้เพราะยุงไม่ชอบกลิ่นแรงๆ ของตะไคร้

     

    2.ต้นสะเดา

              มีสรรพคุณในการไล่ยุงได้มากกว่าสเปรย์ไล่ยุงหลายเท่า ทั้งต้นสะเดาสด และน้ำมันสกัดจากเมล็ดสะเดา

     

     

     

     

    3.ลาเวนเดอร์

            ยุงไม่ชอบกลิ่นของลาเวนเดอร์ สามารถนำน้ำมันหอมระเหยกลิ่นลาเวนเดอร์

    ใส่ถ้วยแล้วไปวางตามหน้าต่างบ้านหรือทาที่ผิวเพื่อป้องกันยุงกัดได้

     

     

     

     

    4.ยูคาลิปตัส

              เป็นสมุนไพรไล่ยุงที่ได้ผลดี โดยใช้ใบสดมาขยี้ให้แหลก วางไว้ตามจุดต่างๆ น้ำมันหอมระเหยที่อยู่ในใบ จะช่วยไล่ยุงและแมลงอื่นๆ ได้ ส่วนเปลือกไม้ของยูคาลิปตัสนำมาบดให้ละเอียดผสมกับขี้เลื้อยและกาว ใช้ทำเป็นธูป และผสมกำมะถัน ใช้ทำเป็นยากันยุงได้

     

     

     

    5.มหาหงส์ หรือหางหงส์

              เป็นไม้ล้มลุก เป็นสมุนไพรไล่ยุงที่ได้ผลดีอีกชนิดหนึ่งและได้รับความนิยมวิธีการคือนำหัวหรือเหง้าสดมาทุบให้แตก

    กลิ่นของน้ำมันหอมระเหยจะออกมา  เอาไปวางในจุดที่ต้องการ ยุงหรือแมลงก็จะไม่มารบกวน

     

     

     

    6.เปลือกส้ม

                    มีสรรพคุณเป็นสมุนไพรไล่ยุงได้ เอาเปลือกส้มมาผึ่งให้แห้ง แล้วนำมาเผาไฟ ควันที่เกิดขึ้นและน้ำมันหอมระเหย   

    ที่อยู่ในเปลือกส้มมีสรรพคุณอย่างดีในการไล่ยุง  และปลอดภัยทั้งต่อคนและสัตว์เลี้ยง

     

     

    7.มะกรูด 

                เป็นสมุนไพรที่มีประโยชน์มากมาย ปลูกง่าย และสามารถไล่ยุงได้ดีด้วย วิธีการคือนำผิวมะกรูดสดมาหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ            มาโขลกกับน้ำ 1 เท่าตัวจนแหลกละเอียด กรองเอาเฉพาะน้ำนำมาทาผิวหรือใส่กระบอก ฉีดตามจุดต่างๆของบ้าน เพื่อกันยุงได้

     

     

     

    8.แคทนิป Catnip หญ้าแมว หรือกัญชาแมว

              เป็นพืชตระกูลเดียวกับสะระแหน่ ที่เรียกว่าต้นกัญชาแมว เพราะเวลาที่ต้นนี้โตจะมีน้ำมันหอมระเหยชื่อ

    Nepetalactone (เนเปทาแลคโตน) ซึ่งเป็นสารแห่งความสุขของน้องเหมียว เมื่อแมวได้กลิ่นหรือ กินเข้าไปจะมีอาการเคลิบเคลิ้ม

    และยังช่วยในการไล่ยุงและแมลงได้ดี ไม่เป็นอันตรายกับคนดีกว่าผลิตภัณฑ์ยาทากันยุงต่างๆ ถึง 10 เท่า

     

     

     

     

     

    9.โหระพา

              กลิ่นหอมแรงของโหระพาช่วยในการไล่ยุงและแมลง เพราะใบโหระพามีน้ำมันที่นำมาสกัด

    เป็นเอสเซนเชี่ยลออยล์ได้บรรจุขวดใช้เป็นสเปรย์ไล่ยุง เป็นสมุนไพรที่ควรปลูกไว้ในบ้าน

     

    10.สะระแหน่

             พืชตระกูลเดียวกับต้นมิ้นต์ ยุงไม่ชอบกลิ่นหอมของสะระแหน่ วิธีการ คือ นำใบสะระแหน่มาบดขยี้ให้มีกลิ่น นำไปวางตามจุดต่างๆ หรือบดแล้วทาผิว จะทำให้ผิวหนังชุ่มชื่นและช่วยกันยุงด้วย

     

     

     

    11.จิงจูฉ่าย

                 คือสมุนไพรจีนต้านมะเร็ง หน้าตาคล้ายขึ้นฉ่าย มีกลิ่นหอมที่ยุงไม่ชอบและไม่กล้าบินเข้าใกล้

    หรือจะนำมาบดขยี้แล้วทาผิวหนังเพื่อกันยุงก็ได้

     

     

     

    12.กระเทียม

              ยุงไม่ชอบกลิ่นฉุนของกระเทียม ลองนำกระเทียมมาตำให้แตกไม่ต้องละเอียดมาก วางบนถุงพลาสติก

    แล้วนำไปวางไว้ตามจุดต่างๆ ภายในบ้าน กลิ่นฉุนของกระเทียมจะช่วยไล่ยุงร้ายออกไป

     

     

     

    13.เจอเรเนียม

              มีชื่อไทยว่า ปากนกกระเรียน สามารถกันยุงได้ จะมีกลิ่นตอนช่วงค่ำเป็นต้นไป ใบจะขับกลิ่นน้ำมันหอมระเหยออกมา

    กลิ่นหอมคล้ายตะไคร้ นิยมปลูกเพื่อไล่ยุงกันอย่างแพร่หลาย

     

     

     

    14.มอสซี่ บัสเตอร์

              เป็นการผสมพันธุ์ระหว่างเจอเรเนียมและตะไคร้หอม คุณสมบัติและความสามารถในการไล่ยุงขึ้นอยู่กับขนาดของต้น

    และพื้นที่ในการใช้ กลิ่นน้ำมันที่ระเหยออกมาจากต้นไม้ สามารถไล่ยุงได้ ควรปลูกไว้ริมรั้วที่ห่างจากตัวบ้าน

    เพราะขณะที่ต้นไม้มีขนาดเล็กกำลังโต มันจะมีสารที่ดึงดูดยุง แต่เมื่อโตเต็มที่จะเปลี่ยนเป็นสารไล่ยุงแทน

     

     

    15.ต้นกานพลู

    หากปลูกไว้ในบ้าน จะช่วยไล่ยุงได้ หรือนำน้ำมันสกัดจากต้นกานพลูมาพ่นไล่ยุง

     

     

     

                                                                             16.หม้อข้าวหม้อแกงลิง                                                                                                                                          

         เป็นไม้เลื้อยกินแมลง มีลักษณะคล้ายลิง ภายในมีของเหลวไว้ล่อแมลง ไม่ว่าจะยุงหรือแมลงไหนๆ ที่บินมาติดก็จะโดนงับทันที

     

     

    17.กะเพรา

              เป็นสมุนไพรมีฤทธิ์ช่วยในเรื่องต่างๆ เช่น ยาระบาย แก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ และช่วยไล่ยุงด้วย 

    นำมาปลูกไว้บริเวณขอบหน้าต่างบ้าน

     

    18.โรสแมรี่

              นิยมในบริเวณบ้านเพื่อความสวยงาม และช่วยกันยุงได้ โดยเอาใบมาเผาไฟ ทำให้เกิดกลิ่นหอมที่ยุงไม่ชอบ

    นอกจากจะช่วยไล่ยุงแล้ว ยังสามารถผสมกับดอกไม้ประเภทอื่นเพื่อช่วยดูแลผิวพรรณได้ด้วย

     

     

    19.ต้นไหมจุรี

              เป็นไม้ดอกสวยงามที่ช่วยไล่ยุงได้ โดยบริษัทผู้ผลิตสเปรย์ไล่ยุงนิยมนำดอกไม้ชนิดนี้มาเป็นส่วนผสมในการผลิต

     

     

    20.เลมอน บาล์ม

              มีสรรพคุณช่วยให้นอนหลับสบาย ช่วยปรับระดับความดันโลหิต และกลิ่นจากใบทำให้ยุงบินหนี

     

     

     

  • ม่าน นอกจากจะเป็นอุปกรณ์สำคัญอย่างหนึ่งในการช่วยตกแต่งบ้านให้ดูมีความสวยงามมากขึ้น มีระดับ  และแสดงถึงรสนิยมของเจ้าของบ้านแล้ว  ม่านยังมีประโยชน์อีกมากมายหลายอย่าง ที่เราอาจนึกไม่ถึง หรือมองข้างไป รวมทั้งการเลือกใช้ผ้าม่านแต่ละประเภทให้ถูกต้องเหมาะสมกับบ้าน และการใช้งานด้วย

                    

    ประโยชน์ของผ้าม่าน

    1. ช่วยป้องกันแสงแดดที่ส่องเข้ามาในบ้าน
    2. ช่วยป้องกันเฟอร์นิเจอร์ไม่ให้สีซีดจาง เนื่องจากถูกแสงแดดส่องเข้ามาในบ้าน
    3. ช่วยพลางสายตาจากคนภายนอกเพื่อความเป็นส่วนตัวได้
    4. ช่วยแบ่งกั้นห้องเพื่อให้เป็นสัดส่วน แทนการก่อกำแพง
    5. สามารถกั้นเป็นห้องแต่งตัวได้
    6. ช่วยลดเสียงดังจากภายนอกได้
    7. ช่วยดูดซับเสียง และช่วยลดเสียงสะท้อน
    8. ช่วยทำให้บ้านดูโดดเด่นสวยงาม

     

    ประเภทของม่าน

    1. ม่านจีบ มีลักษณะเป็นจีบด้านบน เว้นระยะห่างเท่าๆกัน สามารถติดได้ 2 ชั้น คือ ม่านโปร่ง และม่านทึบ และสามารถเข้าได้กับการตกแต่งบ้านทุกสไตล์  เช่น บ้านสไตล์โมเดิร์น หรือวินเทจ เป็นต้น เพียงแค่ต้องเลือกเนื้อผ้า สี และลายให้เหมาะสมกับสไตล์ของบ้านนั้นๆ

     

    2. ม่านพับ เวลาดึงม่านขึ้น ม่านจะพับเป็นชั้นซ้อนทับกัน ม่านพับจะมีความแข็งแรง ประหยัดพื้นที่ และทำความสะอาดง่าย  สามารถถอดซักได้


     

    3. ม่านม้วน มีลักษณะเป็นแกนม้วนสปริงอยู่ด้านบน ป้องกันความร้อนและแสงแดดได้ดี ใช้งานง่าย สะดวก ปรับความสูงได้ตามต้องการ รวมทั้งทำความสะอาดง่ายไม่เก็บฝุ่น และใช้พื้นที่ในการติดตั้งน้อย


     

    4. ม่านคอกระเช้า เหมาะกับการตกแต่งบ้านในสไตล์ร่วมสมัย เช่น สไตลืวินเทจ เป็นต้น ควรเลือกผ้าม่านที่มีสีโทน เดียวกันกับราวม่าน และมีลวดลายไม่มากนัก


     

    5. ม่านตาไก่ มีลักษณะเป็นลอน เรียบง่าย และใช้ได้ทุกยุคสมัย ไม่ตกยุค ติดตั้งง่าย น้ำหนักเบา

     

    6. ม่านหลุยส์ เน้นความหรูหรา ประณีต มีระดับ แต่ม่านหลุยส์มีข้อเสีย คือ ดูแลรักษายาก และเก็บฝุ่น

     

    7. มู่ลี่ แข็งแรง ทำความสะอาดได้ง่าย ไม่เก็บฝุ่น สามารถปรับแสงได้ตามต้องการ มี 3 ประเภทหลักๆ คือ

    •     มู่ลี่ไม้
    •     มู่ลี่ไม้โฟมวู๊ด (เลียนแบบไม้จริง)
    •     มู่ลี่อะลูมิเนียม  มีความคงทน ใช้งานง่าย

     

    8. ม่านปรับแสง สามารถปรับแสงได้ 180 องศา ส่วนใหญ่ทำมาจากวัสดุสังเคราะห์ กรองแสงได้ดี มี 2 แบบ คือ

    • แบบทึบแสง
    • แบบแสงผ่านได้

     

    หวังเป็นอย่างยิ่งว่า บทความจะมีส่วนช่วยให้หลายๆคนที่กำลังเลือกซื้อม่าน ได้ตัดสินใจซื้อได้อย่างถูกต้องเหมาะสม  และไม่ว่าจะเลือกซื้อม่านแบบไหน หรือชนิดใดก็ตาม สิ่งสำคัญที่ควรพิจารณา คือ ประโยชน์ใช้สอย  และแบบของผ้าม่านที่เข้ากันสไตล์การแต่บ้านของเราด้วย ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็ขึ้นอยู่กับความชอบส่วนตัวของเจ้าของบ้านเป็นหลัก

     

    ขอบคุณรูปภาพจาก Pinterest