DIY ต้นคริสต์มาสจากวัสดุต่างๆ
By vLIVING PRO20 กุมภาพันธ์ 2561 09:06:29

ใกล้ถึงเทศกาลวันคริสต์มาสแล้วนะทุกคน และสิ่งสำคัญที่ขาดไม่ได้เลยก็คือ ต้นคริสต์มาส นั้นเอง วันนี้เราจึงมีตัวอย่างต้นคริสต์มาสสุดชิค หลากหลายแบบ มาฝากทุกคนเพื่อเป็นทางเลือกใหม่ๆ ซึ่งสามารถทำเองได้ สวยงาม และไม่เหมือนใครอีกด้วยค่ะ

 

1. ใช้ไม้ หรือเถาวัลย์ทำเป็นต้นคริสต์มาส สำหรับคนที่ชื่นชอบความเป็นธรรมชาติ สามารถนำไม้ หรือเถาวัลย์มาทำเป็นต้นคริสต์มาส ก็ดูดีไปอีกแบบ นอกจากจะเป็นของประดับตกแต่งตามเทศกาลแล้ว ยังใช้เป็นชั้นวางของได้อีกด้วยค่ะ

 

2. ทำต้นคริสต์มาสด้วยลูกโป่งสวยใส เอาลูกโป่งจะหลากสี หรือสีเดียวก็ได้หลายๆใบ ทำให้ได้ขนาดตามใจชอบ มามัดรวมกัน จัดเรียงลูกโป่งให้ดี เท่านี้ก็เป็นต้นคริสต์มาสได้แล้ว อาจผูกลูกโป่งต้นคริสต์มาสไว้กับกล่องของขวัญใบใหญ่ หรือตุ๊กตาก็ได้นะคะ ดูน่ารักไปอีกแบบ

 

3. ต้นคริสต์มาสจากจุกก๊อกไวน์ DIY ชิ้นนี้เหมาะกับคนที่ชอบดื่มไวน์เป็นพิเศษ เพราะเราใช้จุกปิดขวดไวน์ มาเรียงซ้อนเป็นต้นคริสต์มาส อาจตกแต่งเพิ่มความสวยงาม น่ารักด้วยการทาสี และประดับตกแต่งด้วยโบว์ หรือดาวด้านบน เป็นอันเรียบร้อยค่ะ   

 

4. ใช้กระดาษหนังสือทำเป็นต้นคริสต์มาส นำกระดาษที่ไม่ใช้แล้วมาติดกับไม้ที่ปักอยู่ในกระถาง ง่าย และประหยัด หรือเพิ่มความสวยงามให้มากขึ้น ด้วยการพ่นสีทับลงไปบนกระดาษ ตกแต่งดาว กระดุมไม้ หรือโบว์น่ารักๆ ฯลฯ ตามใจชอบ แค่นี้ก็เป็นต้นคริสต์มาสได้แล้วค่ะ 

 

5. ทำต้นสริสต์มาสด้วยกระดุมจากเสื้อผ้าเหลือใช้ หรือกระดุมเก่าที่เสีย และเหลือใช้  หากที่บ้านของคุณมีเสื้อเชิ้ต เสื้อผ้าที่มีกระดุมแล้วไม่ได้ใช้ หรือมีกระดุมที่เสีย และเหลือใช้ ควรเอากระดุมมาใช้ประโยชน์ โดยการนำกระดุมมาติดกับกระดาษม้วนจนเต็ม แล้วตกแต่งให้กลายเป็นต้นคริสต์มาสได้ค่ะ

 

6. นำกิ่งต้นสนมาทำเป็นต้นคริสต์มาส เราสามารถใช้กิ่งสนนำมาปักแจกัน แล้วตกแต่งให้สวยงาม เพียงเท่านี้เราก็จะได้ต้นคริสต์มาสที่สามารถนำไปวางบริเวณไหนก็ได้ตามใจชอบ แถมยังเป็นของแต่งบ้านไปในตัวได้อีกด้วย

 

 

7. ทำต้นคริสต์จากสมุด หนังสือ หากที่บ้านของคุณมีหนังสือ หรือสมุดเก่าๆ ลองนำมาทำเป็นต้นคริสต์มาสดูก็เก๋ไปอีกแบบนะคะ ด้วยการนำหนังสือ หรือสมุดมาวางเรียงซ้อนๆ กันในรูปแบบต่างๆ แล้วประดับด้วยไฟคริสต์มาส หรือของตกแต่ง แค่นี้ก็ได้ต้นคริสต์มาสที่สวยงาม แปลกใหม่ ไม่เหมือนใครแล้วค่ะ 

 

ไอเดียการทำต้นคริสต์มาส เพื่อต้อนรับเทศกาลแห่งความสุขส่งท้ายปี น่าจะมีแบบที่สวยถูกใจเพื่อนๆ บ้างนะคะ ลองเลือกแบบที่ชอบแล้วลองทำดู รับรองว่าสวยเด่นไม่เหมือนใครแน่นอนค่ะ

vLIVING PRO
สนใจติดต่อโฆษณาเว็บไซต์กับ vLIVING PRO โทร.02-101-9493 #16, 082-359-3382
บทความอื่นที่น่าสนใจ
  • การก่อสร้างผนังนั้น ทับหลังก็ถือเป็นส่วนที่สำคัญมากในการก่อสร้าง

    หากไม่มีทับหลังแล้ว จะเกิดปัญหาอะไรตามมา ผมมีคำตอบให้ครับ

     

     

     

     

     

     

     

     

     

  • ปัญหากระเบื้องระเบิดเป็นปัญหาที่เกิดกับเทคนิคการปูกระเบื้องโดยตรงเพราะตามลักษณะของกระเบื้องแล้วหากใช้วิธีการปูที่ไม่ดีอาจทำให้เกิดปัญหาที่ทำให้กระเบื้องแตกร้าว หรือระเบิดได้ดังนี้

    1.ปูกระเบื้องเว้นแนวร่องชิดเกินไป

    ช่างหลายคน ชอบปูกระเบื้องร่องชิด เพื่อให้ดูสวยงาม แต่หากในบริเวณที่ปูกระเบื้องนั้น มีการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิระหว่างวันมาก คือ กลางวันอากาศร้อนจัด ส่วนเวลากลางคืน อุณหภูมิก็ลดลงเร็ว ทำให้ตัวกระเบื้องมีการขยายตัวตอนกลางวัน และหดตัวตอนกลางคืน แต่เมื่อมีการปูกระเบื้องเว้นร่องน้อย ทำให้เมื่อกระเบื้องมีการขยับตัว จะเบียดกันเอง ทำให้เกิดการโก่ง และแตกออกมาจากพื้นได้

    2.ไม่ได้ทาปูนกาวลงบนหลังกระเบื้อง หรือมีการปูกระเบื้องแบบซาลาเปา

    ช่างกระเบื้องบางคน เวลาปูกระเบื้อง จะทาปูนลงบนพื้นเท่านั้น แต่ไม่ได้ทาปูนกาวที่แผ่นกระเบื้อง โดยช่างจะทำการวางกระเบื้องบนปูนที่เตรียมไว้ และเคาะให้ได้ระดับไปเลย ทำให้การยึดเกาะตัวระหว่างพื้นกับกระเบื้องไม่ดีเท่าที่ควร (จะเห็นจากรูปกระเบื้องที่แตก หลุดร่อนออกมา ไม่มีปูนติดกระเบื้อง)  หรืออาจเกิดจากการที่ช่างใช้วิธีปูกระเบื้องแบบซาลาเปา คือ ใส่ปูนแค่บริเวณกลางแผ่นกระเบื้อง แล้วทำการเคาะให้ได้ระดับ ซึ่งวิธีนี้เป็นวิธีที่ช่างทำงานง่าย และเร็ว แต่ประสิทธิภายในการยึดเกาะของกระเบื้องกับพื้นเดิม ไม่ดี และกระเบื้องก็มีโอกาส แตกบิ่น บริเวณมุมได้ง่ายอีกด้วย

     

    การแก้ไขสำหรับกรณีที่เกิดกระเบื้องระเบิด

    1.ควรเลาะกระเบื้องเก่าออกทั้งหมด แล้วทำการปูใหม่และสำหรับบ้านสร้างใหม่ เราก็สามารถป้องกันปัญหาดังกล่าวได้

    2.การปูให้ถูกวิธีตั้งแต่แรก คือ ปรับระดับพื้นให้เหมาะสม

     

    3.ใช้ปูนกาวซีเมนต์ที่มีคุณภาพ โดยทาให้เต็มทั้งพื้นและทาที่หลังกระเบื้องด้วย แล้วทำการเว้นร่องกระเบื้องตามระยะที่กำหนด ก็จะทำให้พื้น ที่เราปูกระเบื้องไว้ มีอายุการใช้งานที่ยาวนาน คงทนไปตลอดอายุการใช้งาน

     

     

     

  •                       ประโยชน์ของผ้าม่านนอกจากความสวยงามแล้วนั้นยังช่วยป้องกันแสงแดดหรือป้องกันให้บุคคล อื่นมองเข้ามาภายในบ้านได้การเลือกผ้าม่านก็เป็นสิ่งสำคัญ เพราะผ้าม่านมีหลายประเภท หลายสไตล์ การเลือกผ้าม่านนั้นต้องให้เหมาะกับบ้านของผู้อยู่อาศัยด้วย วันนี้เรามีตัวอย่างของการเลือกผ้าม่านมาใช้ในแต่ละห้องมาฝากกัน

     

     

     

    แบบผ้าม่านสไตล์ต่างๆ

     

     

    1.ห้องนอน

    ควรเลือกผ้าม่านแบบที่มีความหนามากพอช่วยในการบังแดดที่ส่องมาตอนเช้าและความร้อนในตอนกลางวันช่วยบังสายตาจากภายนอก ควรเลือกผ้าม่านที่กันแสงได้ (Blackout)

     

    สี ต้องเลือกที่เข้ากับโทนสีของห้องและเฟอร์นิเจอร์ อาจจะเป็นสีโทนเย็นและสว่างเพื่อให้ความรู้สึกสบายตา ทำให้ห้องดูกว้างขึ้นด้วย

    ผ้าม่านที่เหมาะกับห้องนอน ม่านจีบ, ม่านพับ, ม่านตาไก่, ม่านลอน, มู่ลี่ไม้

     

      

    2.ห้องทำงาน

    ควรเลือกใช้ผ้าม่านที่ควบคุมแสงและบังสายตา จากภายนอกในระดับที่พอดี ควรใช้ผ้าพื้นสีเรียบๆหรือแบบที่มีลายเล็กๆ หรือใช้เป็นม่านปรับแสง หรือมู่ลี่เพราะสามารถปรับระดับการลอดของแสงได้ตามต้องการ เรียบง่าย สบายและโปร่ง

     

     

     

    3.ห้องรับแขก

    ควรเลือกใช้ผ้าม่านที่มีความสวยงาม แล้วแต่ความชอบให้ห้องดูโล่งกว้างให้ความผ่อนคลาย ช่วยกันกรองแสงได้ เพิ่มความเป็นส่วนตัวให้กับเจ้าของบ้าน

     

     

     

     

    4.ห้องครัว

    ควรเป็นม่านโปร่ง สามารถควบคุมแสง กันฝุ่นเวลาทำกับข้าวได้อย่างพอเหมาะ ช่วยระบายอากาศ เช่น ม่านปรับแสง หรือม่านม้วน เพราะสามารถปรับระดับแสงตามต้องการ และบังสายตาจากแสงแดดจ้าๆ ได้ ทำความสะอาดง่าย

     

     

     

    5.ห้องน้ำ

    สร้างความเป็นส่วนตัว สวยงามและสบายตา ผ้าม่านที่เหมาะสมคือ มู่ลี่ เพราะง่ายต้องการเช็ดและทำความสะอาด ทนน้ำ ดูแลง่าย ไม่ดูดน้ำ และไม่สร้างกลิ่นอับ

     

     

    6.ห้องทานอาหาร

    สร้างบรรยากาศและความสวยหรู ให้น่าทานอาหารมากขึ้น สามารถควบคุมแสงที่ผ่านเข้ามาได้ตามความต้องการ สามรถใช้ได้ทั้งมู่ลี่และผ้าม่าน แต่ถ้าเป็นผ้าควรเป็นแบบกรองแสง อย่าทึบจนเกินไป ไม่ควรใช้ผ้าที่มีน้ำหนักหรือหนามาก เพราะกลิ่นอาหารสามารถติดได้ง่าย

     

  • การเลี้ยงสุนัข เป็นปัญหายอดฮิต ที่ทำให้เกิดปัญหา การทะเลาะวิวาทกับเพื่อนบ้านได้ จึงควรดูแลใส่ใจน้องหมาของเรา ไม่ทำให้เพื่อนบ้านเกิดความรำคาญใจ จึงควรคำนึงถึงเรื่องต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้น ดังนี้

     

    1. เลือกเลี้ยงสุนัขให้เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมที่เราอยู่อาศัย

     

     ไม่ควรเลือกนำมาเลี้ยงเพียงเพราะความชอบส่วนตัว หรือถูกใจเพียงแค่หน้าตาน่ารักอย่างเดียวเท่านั้น   ควรศึกษาข้อมูลของสุนัขแต่ละสายพันธุ์ให้ดีก่อนนำมาเลี้ยง เช่น บุคลิก ลักษณะนิสัย หรือพฤติกรรม ของสุนัขแต่ละสายพันธุ์ เป็นต้น

     

     

    1. จัดพื้นที่ให้เป็นสัดส่วน

     

     

     

     แบ่งเขตให้สุนัขรู้จักพื้นที่ของตัวเอง  เพื่อเป็นการสร้างวินัยให้กับสุนัข มีพื้นที่กว้างพอดีกับขนาดตัวของสุนัขแต่ละสายพันธุ์  อากาศถ่ายเทได้สะดวก และร่มรื่น

     

     

    1. เก็บอึ ฉี่ ของสุนัขไม่ให้รบกวนเพื่อนบ้าน

    เจ้าของสุนัขควรมีความรับผิดชอบ ในการขับถ่ายของสุนัข ควรฝึกให้สุนัขขับถ่ายในที่ที่เตรียมไว้ หมั่นทำความสะอาดกรง และแผ่นรองอย่างสม่ำเสมอ หรือพาสุนัขออกไปขับถ่ายเวลาเดิมทุกๆวัน เพื่อให้สุนัขมีระบบการขับถ่ายที่แน่นอน ตรงเวลา และควรนำถุง หรือกระดาษไปด้วย  เพื่อเก็บกองอึของสุนัขให้เรียบร้อย ซึ่งเป็นความรับผิดชอบของเจ้าของสุนัขที่มีต่อสังคม เพื่อเป็นการรักษาชุมชนให้น่าอยู่ ไม่ทำให้ผู้อื่นเกิดความเดือดร้อน

     

    1. ใส่สายจูงให้สุนัขทุกครั้ง เมื่อออกจากบ้าน

     

     

    ทำให้สามารถควบคุมสุนัขได้ง่าย ช่วยให้สุนัขปลอดภัยจากอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้น ช่วยป้องกันไม่ให้สุนัขวิ่งเข้าบ้านคนอื่น ช่วยให้คนรอบข้างปลอดภัยจากสุนัขของเรา หากสุนัขของเรามีความดุร้าย และยังช่วยป้องกันปัญหาสุนัขกัดกันได้อีกด้วย

     

     

    1. ฝึกสุนัข ไม่ให้ปากเปราะ

     

    ควรเริ่มฝึกตั้งแต่เล็กๆ และค่อยๆฝึกอย่างใจเย็น โดยการที่ เมื่อเห็นว่าสุนัขเห่าสิ่งต่างๆรอบตัว ผู้เลี้ยงควรนิ่งเฉยไว้ก่อน แล้วจึงค่อยเบี่ยงความสนใจ โดยการเคาะโต๊ะ หรือเก้าอี้ เพื่อทำให้สุนัขตกใจ เมื่อสุนัขหยุดเห่าผู้เลี้ยงควรพูดชมว่า “ดีมาก” แล้วลูบที่ต้นคอของสุนัข หรือถ้าสุนัขเห่าเพื่อขอของกิน ผู้เลี้ยงห้ามให้เด็ดขาด  รอให้สุนัขหยุดเห่าแล้วจึงค่อยให้ของกิน เพื่อฝึกให้สุนัขรู้ว่า ต้องไม่เห่าจึงจะได้ของกิน

     

    1. รับฟังความคิดเห็นของเพื่อนบ้าน

     

     

    พูดคุยกับเพื่อนบ้าน สอบถามถึงปัญหา และผลกระทบที่ได้รับจากสุนัขของเรา เพื่อหาทางแก้ไข และป้องกันปัญหาต่างๆที่อาจเกิดขึ้นได้ในอนาคต

     

    1. สุนัขชอบทำลายข้าวของ

     

     

    ปัญหานี้ อาจเกิดขึ้นเพราะ สุนัขเกิดความเครียด เหงา กลัวว่าจะโดนทิ้ง จึงแสดงพฤติกรรมที่ไม่ดีออกมา เพื่อเรียกร้องความสนใจ ผู้เลี้ยงควรฝึกสุนัขตั้งแต่เล็กๆ ให้คุ้นกับการอยู่ตัวเดียว แต่ถ้าสุนัขชอบทำลายข้าวของเป็นประจำ ทั้งๆที่ไม่ได้อยู่ตัวเดียว ผู้เลี้ยงต้องทำโทษด้วยการ นำกระดาษหนังสือพิมพ์มาม้วน แล้วตีสุนัขเบาๆ ให้เกิดเสียง เพื่อให้สุนัขรู้ว่า ถ้าทำแบบนี้อีกจะถูกทำโทษ

     

    1. มีเวลาใส่ใจดูแลสุนัข

     

     

    ควรสัมผัสตัว ลูบหัว พูดคุยกับสุนัข และควรพูดชมว่า “ดีมาก”  “เก่งมาก” เมื่อสุนัขทำตัวดี น่ารัก รวมถึง ควรมีเวลาว่างเพื่อทำกิจกรรมร่วมกับสุนัขด้วย เช่น พาไปออกกำลังกาย เดินเล่นนอกบ้าน เป็นต้น ช่วงเวลาที่เหมาะสมสำหรับการพาสุนัขไปเดินเล่น คือ

     

    ตอนเช้า ใช้เวลาเดินเล่น ประมาณ 20 – 30 นาที เพื่อช่วยให้สุนัขปลดปล่อยพลังงาน คลายความเครียด ลดนิสัยก้าวร้าว และช่วยให้สุขภาพแข็งแรง

     

    ตอนเย็น เวลาที่เหมาะสมคือ ตั้งแต่เวลา 17.30 น. เป็นต้นไป ใช้เวลาเดินเล่นประมาณ 40 นาที ถึง 1 ชั่วโมง เพื่อช่วยให้สุนัขคลายความเครียด หลังจากที่ต้องอยู่บ้านมาทั้งวัน

     

    วันเสาร์ – อาทิตย์ เป็นวันที่เหมาะกับการฝึกวินัยให้กับสุนัขเพื่อให้ทำตามคำสั่ง และทำกิจกรรมต่างๆร่วมกัน เช่น การพาสุนัขไปตรวจสุขภาพ ไปเที่ยว หรือว่ายน้ำ เป็นต้น เพื่อสร้างความใกล้ชิดสนิทสนม ระหว่างเจ้าของกับสุนัข

     

     

    กฎหมายการเลี้ยงหรือปล่อยสุนัข พ.ศ. 2548 ข้อ 26 และพระราชบัญญัติการสาธารณะสุข พ.ศ. 2535 มาตรา 73 วรรค 2 มีดังนี้

    1. ผู้เลี้ยงต้องดูแลสุนัขไม่ให้ก่อเรื่องเดือดร้อน เช่น เห่าเสียงดังนานๆ เป็นต้น
    2. ต้องดูแลพื้นที่ที่เลี้ยงสุนัขให้สะอาดอยู่เสมอ
    3. กำจัดสิ่งปฏิกูลของสุนัขอย่างสม่ำเสมอ
    4. เมื่อสัตว์เลี้ยงตาย ผู้เลี้ยงต้องจัดการให้ถูกสุขลักษณะ เพื่อป้องกันเชื้อโรคและกลิ่นเหม็น ซึ่งอาจสร้างความเดือดร้อนให้กับเพื่อนบ้านได้
    5. หากสุนัขมีความดุร้าย จะต้องผูกสายลากจูง ที่มีความยาวไม่เกิน 50 เซนติเมตร และต้องใส่ที่ครอบปากตลอดเวลาที่ออกนอกบ้าน หากฝ่าฝืนต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 5,000 บาท หากผู้ใดพบเห็นผู้ที่ทำผิดกฎหมาย และมีหลักฐาน เช่น รูปถ่าย ว่าสุนัขกำลังทำร้ายคน จะมีโทษปรับเป็น 2 เท่า คือ ปรับไม่เกิน 5,000 บาท รวมถึงชดใช้ค่าเสียหาย ค่ารักษาพยาบาล และค่าทำขวัญ

     

    ก่อนตัดสินใจซื้อสุนัขมาเลี้ยง ควรศึกษาให้ดี รวมทั้งศึกษาตัวเราเองด้วยนะคะว่าพร้อมที่จะดูแลน้องหมาหรือไม่ เพื่อไม่ให้เดือดร้อนผู้อื่น และกลายเป็นปัญหาของสังคมในอนาคตด้วยค่ะ

     

    ขอบคุณรูปภาพจาก Pinterest

  • กลิ่นใครว่าไม่สำคัญ ยิ่งกลิ่นจากเหงื่อหลังจากทำงานมาหนักๆนี่อย่าให้พูด...แล้วดันไปติดเสื้ออีก

    วันนี้เรามีเคล็ดลับกำจัดกลิ่นดีๆมากฝาก ว่าจะแก้ไขไงดี มาดูกันเลยย